(แฟ้มภาพซินหัว : ประชาชนเดินอยู่หน้าซิดนีย์โอเปราเฮาส์ ในนครซิดนีย์ของออสเตรเลีย วันที่ 11 ต.ค. 2021)

แคนเบอร์รา, 14 ต.ค. (ซินหัว) — เมื่อเช้าวันพฤหัสบดี (14 ต.ค.) ออสเตรเลียรายงานการตรวจพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ติดเชื้อในท้องถิ่นเพิ่ม 2,749 ราย สูงทำลายสถิติเก่าเมื่อวันเสาร์ (9 ต.ค.) ซึ่งอยู่ที่กว่า 2,500 ราย ขณะเดียวกันมีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 18 ราย ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 3

ในหมู่ผู้ป่วยรายใหม่ทั้งหมด พบในรัฐวิกตอเรีย รัฐที่มีประชากรสูงเป็นอันดับ 2 และมีเมลเบิร์นเป็นเมืองเอก รวม 2,297 ราย และผู้เสียชีวิต 11 ราย ส่วนรัฐนิวเซาธ์เวลส์ รัฐที่มีประชากรสูงสุดและมีซิดนีย์เป็นเมืองเอกพบผู้ป่วย 406 ราย ผู้เสียชีวิต 6 ราย

ด้านเขตเมืองหลวงออสเตรเลีย (ACT) พบผู้ป่วย 46 ราย เสียชีวิต 1 ราย ในวันสุดท้ายของการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ในเขตฯ โดยมาตรการที่บังคับใช้มานานกว่า 60 วันนี้สิ้นสุดลงเมื่อเวลาเที่ยงคืนของวันพฤหัสบดี (14 ต.ค.)

แอนดรูว์ บาร์ หัวหน้ามุขมนตรีของเขตฯ ยอมรับว่ามาตรการล็อกดาวน์สร้างความยากลำบากให้ประชาชนในกรุงแคนเบอร์รา แต่มาตรการนี้ช่วยควบคุมยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ประชาชนในเมืองจำนวนมากได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 พร้อมเตือนว่าแม้ว่ามาตรการจะสิ้นสุดลง แต่เชื้อไวรัสฯ และภัยเสี่ยงจะยังคงมีอยู่ในชุมชนต่อไป

ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขของออสเตรเลียระบุว่ามีชาวออสเตรเลียอายุ 16 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างน้อย 1 โดสแล้วราวร้อยละ 83.2 และมีผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วร้อยละ 64.4

เมื่อวันพฤหัสบดี (14 ต.ค.) สำนักงานสถิติออสเตรเลีย (ABS) ระบุว่ามาตรการล็อกดาวน์ในกรุงแคนเบอร์รา นครซิดนีย์ และนครเมลเบิร์นส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทำให้อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.6 ในเดือนกันยายน โดยจำนวนผู้มีงานทำลดลง 111,000 คน เมื่อเทียบกับระดับก่อนดำเนินมาตรการล็อกดาวน์เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2020

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.