(แฟ้มภาพซินหัว : สถานที่จัดงานมหกรรมแสดงสินค้าจีน-อาเซียน ครั้งที่ 19 ในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน)

หนานหนิง, 17 ก.ย. (ซินหัว) — ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ซึ่งเข้าร่วมพิธีเปิดงานมหกรรมแสดงสินค้าจีน-อาเซียน ครั้งที่ 19 และการประชุมสุดยอดทางธุรกิจและการลงทุนจีน-อาเซียน ผ่านระบบวิดีโอเมื่อวันศุกร์ (16 ก.ย.) ได้กล่าวสนับสนุนการบ่มเพาะความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านจีน-อาเซียน เพื่อเอาชนะความท้าทายและสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

ปีนี้นับเป็นปีแรกของความเป็นหุ้นส่วนฯ และเป็นปีที่ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ โดยงานมหกรรมฯ ปีนี้มีหัวข้อ “การแบ่งปันโอกาสใหม่ของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) การสร้างเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน 3.0” (Sharing RCEP New Opportunities, Building a Version 3.0 China-ASEAN Free Trade Area) ซึ่งมุ่งสำรวจโอกาสใหม่และกระชับความเป็นหุ้นส่วนฯ ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นอันเป็นความคาดหวังร่วมกันของจีนและอาเซียน

ดอนกล่าวว่าจีนและอาเซียนมุ่งมั่นสานต่อผลสำเร็จที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา เพื่อก้าวสู่อนาคตข้างหน้าร่วมกัน โดยจีนเป็นประเทศใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ สามารถมีบทบาทสำคัญเชิงสร้างสรรค์ในการพัฒนาของภูมิภาค ขณะความเป็นหุ้นส่วนฯ ที่เข้มแข็งจะสร้างสภาพแวดล้อมอันเกื้อหนุนการฟื้นฟูและความยืดหยุ่นแก่เศรษฐกิจในระยะยาว

จีนและอาเซียนถือเป็นฐานการผลิตแห่งสำคัญของโลก มีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่มหึมา การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้าที่ใกล้ชิดยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาค  โดยจีนจัดเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนติดต่อกัน 13 ปีแล้ว และอาเซียนกลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีนตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา

(ภาพจากคณะผู้จัดงานมหกรรมแสดงสินค้าจีน-อาเซียน : ชาวไทยผู้เข้าร่วมงานมหกรรมแสดงสินค้าจีน-อาเซียน ครั้งที่ 19 ในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน)

ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงและความสลับซับซ้อน ปรากฏสารพัดความเสี่ยงทั้งความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมือง การพุ่งทะยานของอัตราเงินเฟ้อ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ การบังคับใช้ความตกลงฯ จะสร้างโอกาสใหม่ของความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างจีนและอาเซียน

ดอนกล่าวว่าผู้ประกอบการของไทยและจีนต่างได้รับประโยชน์นับตั้งแต่ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ โดยผู้ส่งออกของไทยจำนวนมากได้ขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าการเกษตรและอุตสาหกรรม คิดเป็นมูลค่า 204 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.5 พันล้านบาท) ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายนที่ผ่านมา จึงหวังว่าความตกลงฯ จะส่งเสริมการพัฒนาอีคอมเมิร์ซและเศรษฐกิจดิจิทัลยิ่งขึ้น ซึ่งตรงกับแนวทางการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลของภูมิภาค

ดอนทิ้งท้ายเรียกร้องประเทศต่างๆ สนับสนุนการยกระดับเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน สนับสนุนการบังคับใช้ความตกลงฯ อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ เร่งรัดการบูรณาการทางเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุน ขยับขยายตลาด และกระชับห่วงโซ่อุปทาน เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงส่งเสริมธุรกิจรูปแบบใหม่ สร้างสมดุลของการพัฒนาเศรษฐกิจและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ดำเนินการวิจัย พัฒนา และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เศรษฐกิจสีเขียว และพลังงานสะอาด เพื่อเดินหน้าการพัฒนาระดับภูมิภาคให้ดียิ่งขึ้น

(ภาพจากคณะผู้จัดงานมหกรรมแสดงสินค้าจีน-อาเซียน : ชาวไทยผู้เข้าร่วมงานมหกรรมแสดงสินค้าจีน-อาเซียน ครั้งที่ 19 ในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.