ปักกิ่ง, 4 ก.พ. (ซินหัว) — ข้อมูลและรายงานที่ผิดๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) กระหน่ำสื่อโซเชียลอย่างไม่ขาดสายนับตั้งแต่ไวรัสฯ แพร่ระบาด อันเป็นการกระพือความหวาดกลัวอันไร้เหตุผลในหมู่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

อย่างไรก็ดีมีสื่อกระแสหลักจำนวนมากที่ออกมารายงานและให้ความกระจ่างต่อข่าวลือเหล่านั้น เพื่อนำเสนอภาพที่แท้จริงของโรคระบาดครั้งนี้แก่สาธารณชนและยุติความตื่นตระหนกของพวกเขาในประเด็นต่างๆ ดังนี้

ซุปค้างคาว   

ชาวจีนชื่อดังในวงการโซเชียลมีเดียเผยแพร่คลิปวิดีโอแสดงภาพการกิน “ซุปค้างคาว” ซึ่งแพร่ไปตามสื่อออนไลน์จนมีคนกดดูจำนวนมาก หลังเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสฯ ในนครอู่ฮั่น ทางตอนกลางของจีน

สื่อบางสำนักใช้คลิปดังกล่าวเพื่อเผยแพร่รายงานเท็จ โดยอ้างว่าไวรัสฯ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับซุปค้างคาวที่ปนเปื้อน

“แต่จะว่ากันจริงๆ แล้ว คลิปวิดีโอดังกล่าวไม่ได้ถ่ายขึ้นที่อู่ฮั่นหรือในจีน” สำนักข่าวบีบีซี (BBC) รายงานแย้งกรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 30 ม.ค. ที่ผ่านมา

“คลิปนี้ถ่ายทำโดยหวังเมิ่งอวิ๋น (Wang Mengyun) พิธีกรรายงานท่องเที่ยวและบล็อกเกอร์สาวชื่อดัง ระหว่างท่องเที่ยวที่ปาเลา (Palau) หมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก เมื่อปี 2016” สำนักข่าวฯ รายงาน

“เชื่อกันว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เกิดจากสัตว์ป่าที่ถูกนำมาลักลอบค้าอย่างผิดกฎหมายที่ตลาดอาหารทะเลในอู่ฮั่น และแม้ค้างคาวจะถูกกล่าวถึงในงานวิจัยล่าสุดจากจีนว่าอาจเป็นต้นตอของไวรัสฯ แต่ซุปค้างคาวนั้นไม่ใช่สิ่งที่หากินได้ทั่วไปในจีน นอกจากนั้นตอนนี้ การสืบหาแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของไวรัสฯ ก็ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ” สำนักข่าวฯ ระบุ

โฆษณาชวนเชื่อเหยียดชาวจีน

เดอะการ์เดียน (The Guardian) หนังสือพิมพ์สหราชอาณาจักร เผยแพร่บทความคิดเห็นซึ่งระบุว่า “ข่าวเท็จเรื่อง ‘ซุปค้างคาว’ คือตัวอย่างสุดคลาสสิกของข่าวปลอม และเป็นข่าวปลอมที่ทรงพลังทีเดียว”

“อย่างในกรณีนี้ คลิปวิดีโอต้นฉบับจริงของหญิงชาวจีนที่กำลังกินซุปค้างคาวนั้น ถูกแยกออกจากบริบทที่แท้จริง (ที่ว่าเป็นวิดีโอท่องเที่ยวของบล็อกเกอร์ที่บันทึกจากร้านอาหารในปาเลาเมื่อปี 2016) และเริ่มกุเรื่องเชื่อมโยงว่าไวรัสโคโรนาบางชนิดเกิดจากค้างคาว เพื่อแต่งเรื่องน่าดึงดูดใจแก่เป้าหมายชาวตะวันตก กลุ่มที่ชอบเหยียดเชื้อชาติ” เดอะการ์เดียนระบุ

ในออสเตรเลีย มีการเตือนภัยปลอมซึ่งอ้างว่ามาจากรัฐบาลควีนส์แลนด์ เตือนให้ประชาชนอยู่ห่างจากพื้นที่ที่มีชาวจีนอยู่หนาแน่น

เวลาต่อมา ดันแคน เพกก์ (Duncan Pegg) สมาชิกสภารัฐควีนส์แลนด์ เผยแพร่ภาพบันทึกจากหน้าจอของข่าวเตือนภัยดังกล่าว พร้อมระบุข้อความว่า “ปลอม!! ปลอม!! ปลอม!! 100%”

“ปกติผมก็ไม่อยากจะเชื่อถือคนที่หาทางว่าร้ายชุมชนของเราอยู่แล้ว แต่คราวนี้ผมอยากจะทำอะไรให้มันชัดเจน” เขาระบุ

ทฤษฎีสมคบคิด “อาวุธชีวภาพ”

อีกหนึ่งข่าวโคมลอยที่เผยแพร่ทางออนไลน์อย่างกว้างขวางนั้นหนีไม่พ้นรายงานจากหนังสือพิมพ์วอชิงตัน ไทมส์ (Washington Times) เมื่อวันที่ 26 ม.ค. ที่อ้างว่าไวรัสฯ “อาจเกิดจากห้องทดลองในนครอู่ฮั่นซึ่งเชื่อมโยงกับโครงการลับเพื่อสร้างอาวุธชีวภาพ”

นิทานเรื่องการสมคบคิดสร้าง “อาวุธชีวภาพ” ดังกล่าว ถูกอ้างอิงที่มาจากแดนี โชแฮม (Dany Shoham) อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของกองทัพอิสราเอล

นิตยสารฟอเรนจ์ โพลิซี (Foreign Policy) ระบุข้อความในบทความฉบับหนึ่งซึ่งใช้ชื่อว่า “ไวรัสอู่ฮั่นไม่ใช่อาวุธชีวภาพจากห้องทดลอง” (The Wuhan Virus Is Not a Lab-Made Bioweapon) บนเว็บไซต์ว่า “บรรดาทฤษฎีสมคบคิดแพร่ไปเร็วเสียยิ่งกว่าตัวไวรัสโคโรนา”

“แม้โชแฮมจะไม่เคยมีข้อสนับสนุนข้ออ้างเรื่องแต่งที่ว่าการแพร่ระบาดเกิดจากอาวุธชีวภาพ แต่สื่อก็ยังคงหยิบยกไปใช้และปั่นกระแส” ฟอเรนจ์โพลิซีระบุ

นอกจากนั้น สำนักข่าวบีบีซียังรายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า “ไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ สำหรับข้ออ้างนี้”

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคเมอร์ส (MERS)

การแพร่ระบาด “ที่วางแผนไว้แล้ว”

ทฤษฎีสมคบคิดอีกข้อหนึ่งอ้างว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ถูกสร้างขึ้นโดยอุตสาหกรรมเภสัชกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อขายวัคซีน

“หนึ่งในคนพวกแรกๆ ที่ปล่อยข้อกล่าวหาเช่นนี้ออกมา คือยูทูเบอร์และนักทฤษฎีสมคบคิดที่ชื่อว่าจอร์แดน เซเธอร์ (Jordan Sather)” สำนักข่าวบีบีซีรายงาน

เซเธอร์เผยแพร่เนื้อหาในทวิตเตอร์ซึ่งภายหลังถูกแชร์ไปในวงกว้าง เขาได้แนบลิงก์สิทธิบัตรปี 2015 ฉบับหนึ่ง ที่ออกโดยสถาบันเพอร์ไบรต์ (Pirbright Institute) สิทธิบัตรฉบับดังกล่าวระบุถึงการพัฒนาไวรัสโคโรนาที่เชื้ออ่อนแอสำหรับใช้เป็นวัคซีนป้องกันหรือรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ

อย่างไรก็ตาม สถาบันดังกล่าวได้ออกแถลงการณ์ฉบับยาวลงในเว็บไซต์ พร้อมชี้แจงว่างานวิจัยไวรัสโคโรนาของสถาบันนั้นครอบคลุมไวรัสที่มีผลต่อสัตว์ปีกและสุกรเท่านั้น ไม่ใช่เชื้อประเภทที่ปรากฏในมนุษย์

“สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ควรจดจำคือไวรัสโคโรนาไม่ใช่โรคหนึ่งโรค แต่เป็นกลุ่มไวรัสกลุ่มหนึ่ง (ที่มีหลายชนิด)” บัซซ์ฟีด (Buzzfeed) สื่ออินเทอร์เน็ตของสหรัฐฯ รายงาน “ไวรัสโคโรนาในปัจจุบันที่เชื่อว่ามีแหล่งกำเนิดจากอู่ฮั่นนั้น ถูกระบุว่าเป็นชนิดที่ 7”

จำนวนผู้เสียชีวิตปลอม

ฮัล เทอร์เนอร์ (Hal Turner) พิธีกรรายการวิทยุของสหรัฐฯ หัวเอียงขวาจัด ได้อ้างถึงจำนวนผู้เสียชีวิตและติดเชื้อไวรัสฯ เกินจริงไปอย่างมาก โดยได้รายงานบนเว็บไซต์ของตน เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ว่า มีผู้เสียชีวิตไปแล้วทั้งสิ้น 112,000 ราย และมีผู้ติดเชื้อไวรัสฯ สายพันธุ์ใหม่ถึง 2.8 ล้านราย พร้อมอ้างอิง “แหล่งข่าวกรองลับซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของผมตลอด 15 ปี ที่ทำงานในเอฟบีไอ (FBI)”

ลีดสตอรีส์ ( Lead Stories) หนึ่งในองค์กรฝ่ายที่สามที่เฟซบุ๊กว่าจ้างให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงยืนยันว่ารายงานของเทอร์เนอร์เป็น “ข่าวปลอม”

ความเป็นจริง ทางการสาธารณสุขของจีนได้แจ้งตัวเลขล่าสุดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นประจำทุกวัน เช่นเมื่อวันพุธ (5 ก.พ.) คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) รายงานจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสฯ บนจีนแผ่นดินใหญ่รวมอยู่ที่ 24,324 ราย และผู้ป่วยที่เสียชีวิตรวมอยู่ที่ 490 ราย เมื่อนับถึงสิ้นวันอังคาร (4 ก.พ.)

ส่วนผู้ป่วยที่ยังคงมีอาการหนักอยู่ที่ 3,219 ราย ผู้ป่วยต้องสงสัยอยู่ที่ 23,260 ราย และผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วรวมอยู่ที่ 892 ราย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.