วอชิงตัน, 28 มี.ค. (ซินหัว) — เมื่อช่วงบ่ายวันพุธ (27 มี.ค.) พันตำรวจเอก โรแลนด์ บัตเลอร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐแมริแลนด์ แถลงว่าเจ้าหน้าที่ได้กู้ร่างผู้เสียชีวิต 2 รายจากเหตุสะพานถล่มในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ทางตะวันออก โดยพบร่างผู้เสียชีวิตในรถกระบะ ซึ่งเป็นชายอายุ 35 ปี และ 26 ปี ตามลำดับ
บัตเลอร์ระบุว่านักประดาน้ำพบรถกระบะสีแดงจมอยู่ใต้น้ำลึกราว 25 ฟุต (ราว 7.62 เมตร) บริเวณช่วงกลางของสะพานที่พังลงมา และพบผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายช่วงก่อน 10.00 น. ของวันพุธ (27 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนจากปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยเป็นปฏิบัติการ “เก็บกู้” แล้ว
ปฏิบัติการที่เปลี่ยนแปลงนี้มีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเจ้าหน้าที่หน่วยยามฝั่งของสหรัฐฯ สันนิษฐานว่าคนงานก่อสร้าง 6 รายที่สูญหายหลังสะพานถล่มได้เสียชีวิตแล้ว เนื่องด้วยอุณหภูมิน้ำเย็นจัดและระยะเวลาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนานแล้ว อีกทั้งมีการระงับปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยนาน 18 ชั่วโมงด้วย
อนึ่ง สะพานฟรานซิส สก๊อต คีย์ บริดจ์ ความยาว 2.6 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสะพานส่วนสำคัญของทางหลวงหมายเลข 695 ได้พังถล่มลงมาตอนราว 01.30 น. ของวันอังคาร (26 มี.ค.) หลังจากถูกพุ่งชนด้วยเรือตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ติดธงชาติสิงคโปร์ที่เกิดเหตุไฟฟ้าบนเรือดับทั้งหมด
รายงานระบุว่ากลุ่มผู้สูญหายทั้ง 6 รายเป็นพนักงานซ่อมบำรุงถนน ซึ่งกำลังซ่อมแซมหลุมบ่อบนพื้นผิวการจราจรตอนสะพานพังถล่ม ขณะก่อนหน้านี้มีการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุจากแม่น้ำปาทัปสโกได้จำนวน 2 รายซึ่งหนึ่งรายอยู่ในอาการสาหัส จากทั้งหมดที่ตกลงไปในน้ำ 8 ราย
แม็กซิมิเลียน อัลวาเรซ หัวหน้าบรรณาธิการของสื่อท้องถิ่น ตั้งคำถามว่าเหตุใดคนบนสะพานที่ทำงานอันตรายตอนกลางคืนจึงไม่มีสายตรงติดต่อหน่วยฉุกเฉิน ในเมื่อพวกเขาทำงานในสภาพแวดล้อมที่เห็นได้ชัดว่าอาจเป็นอันตรายและมีเรือลำมหึมาแล่นผ่านใต้ฝ่าเท้า
แถลงการณ์จากโกลบอล เรฟฟิวจ์ (Global Refuge) องค์กรบริการตรวจคนเข้าเมืองแบบไม่แสวงหาผลกำไรซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในบัลติมอร์ ระบุว่าโศกนาฏกรรมดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างไม่ยุติธรรมต่อชุมชนผู้อพยพในเมือง เนื่องจากพวกเขามักทำงานในอาชีพที่ท้าทายและอันตราย
“สะพานสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่ความบอบช้ำที่เกิดกับครอบครัวของบุคคลเหล่านี้ไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาเหมือนเดิมได้อีกแล้ว” กฤษ โอ’มารา วิกนาราจาห์ ประธานและซีอีโอขององค์กรข้างต้นกล่าว
