(แฟ้มภาพ : เฉียนจงซู เจ้าของร้านกี่เพ้าในเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน กำลังพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการทำชุดกี่เพ้ากับช่างตัดเสื้อ วันที่ 2 ก.ย. 2020 )

หางโจว, 17 ก.ย. (ซินหัว) — เมื่อวันพุธ (16 ก.ย.) ที่ผ่านมา อาลีบาบา (Alibaba) ยักษ์ใหญ่วงการอีคอมเมิร์ซจีนเปิดตัว ‘โรงงานดิจิทัลซวิ่นซี’ (Xunxi Digital Factory) ภายใต้บริษัทซวิ่นซี ดิจิทัล เทคโนโลยี (Xunxi Digital Technology) ซึ่ง รับหน้าที่ผลิตเสื้อผ้า โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานของวงการเสื้อผ้าแบบดั้งเดิมให้ยืดหยุ่นยิ่งขึ้น การเปิดตัวนี้ได้รับความสนใจจากผู้คนทุกเพศทุกวัย คนในวงการเชื่อว่า นี่เป็นก้าวสำคัญของอาลีบาบาในการนำอินเตอร์เน็ตมาปรับใช้กับการปฏิวัติอุตสาหกรรมเครื่องแต่งกายไปสู่ยุค “ดิจิทัล” อย่างแท้จริง

ข้อมูลจากการแถลงข่าวของบริษัทระบุว่า ‘ซวิ่นซี’ คือแพลตฟอร์มการผลิตอัจฉริยะด้วยระบบดิจิทัล เปรียบดังสนามเด็กเล่นในด้านการผลิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางหรือเอสเอ็มอี (SMEs) ปฏิบัติงานด้วยระบบคลาวด์ (cloud) อัจฉริยะ ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถสั่งผลิตและปรับแต่งสินค้าในจำนวนไม่มากได้ตามความต้องการ และช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการผลิต

แพลตฟอร์มนี้ขับเคลื่อนโดยโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์ของอาลีบาบา และอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (IoT) ทำหน้าที่จัดหาห่วงโซ่อุปทานการผลิตแบบดิจิทัลครบวงจร (end-to-end) ที่จะช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถกำหนดรูปแบบการผลิตตามความต้องการได้อย่างเต็มที่ โดยมีโรงงานต้นแบบแห่งแรกตั้งอยู่ในเขตอวี๋หาง เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน

จุดเริ่มต้นของซวิ่นซีเริ่มจากธุรกิจเสื้อผ้า ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีวงจรการผลิตยาวนาน และระดับสินค้าเหลือค้างในคลังสูง ซึ่งเป็นปัญหาของผู้ประกอบการรายย่อยและรายใหญ่มาเนิ่นนาน

ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การจัดหาทรัพยากรแบบเรียลไทม์ (real-time) การวางแผนกระบวนการทำงานและต้นทุน การขนส่งอัตโนมัติภายในองค์กร และระบบปฏิบัติการด้านการผลิตของซวิ่นซี ช่วยให้โรงงานสามารถผลิตสินค้าปริมาณน้อยได้ในราคาต้นทุนที่เหมาะสม และมีระยะเวลาการจัดส่งที่สั้นลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 55 โดยเฉลี่ย

อเลน อู่ ประธานกรรมการบริหารบริษัทซวิ่นซี ดิจิทัล เทคโนโลยีภายใต้เครืออาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “ข้อมูลถือได้ว่าเป็นแกนหลักของการผลิตรูปแบบใหม่ และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกก็เป็นกุญแจสำคัญในการคว้าโอกาสของความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปใน ซึ่งเป็นการปรับให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย แทนที่จะเป็นการสั่งผลิตสินค้าครั้งละจำนวนมาก การผลิตรูปแบบใหม่นี้เปลี่ยนโฉมผู้ผลิตดั้งเดิมด้วยความอัจฉริยะและเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เพื่อก้าวไปสู่รูปแบบการผลิตที่คล่องตัวมากขึ้น และอิงตามความต้องการแบบเรียลไทม์”

อู่เสริมว่า “สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ผลิตแบบดั้งเดิมสามารถปรับปรุงความสามารถในการทำกำไรและลดระดับสินค้าเหลือค้างในคลัง ขณะเดียวกันก็สามารถตอบโจทย์ต้องการเฉพาะบุคคลเหล่านี้ได้ด้วย”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.